ทำไมท้องฟ้าในตอนเช้าและเย็นถึงเป็นสีส้ม
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ท้องฟ้าที่เราเห็นอยู่นั้นไม่เคยเหมือนกันเลยสักวัน” ซึ่งถ้าเราลองมองออกไปและสังเกตดูสักนิดก็จะพบว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริง เพราะไม่ใช่แค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในทุกๆ วันหรอก ถ้าคุณลองสังเกตดูให้ดีๆ อีกสักนิดนึงคุณก็จะพบข้อเท็จจริงอีกว่าสีของท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปตามเวลาด้วยเช่นกัน หากเราตื่นนอนในยามเช้าตรู่สีของท้องฟ้าก็จะถูกฉากไปด้วยสีส้ม แต่ถ้ารอให้สายอีกสักนิดท้องฟ้าที่เราเห็นในตอนเช้าก็ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นสีฟ้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อเวลายามเย็นช่วงอาทิตย์กำลังจะตกดินสีของท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้จึงอาจจะทำให้เกิดคำถามขึ้นภายในใจของใครหลายๆ คนว่า เพราะเหตุใด ท้องฟ้าที่เราเห็นอยู่ในทุกๆ วันจึงได้เปลี่ยนสีและไม่เคยเหมือนเดิมเลยในทุกๆ วัน
ท้องฟ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของชั้นบรรยากาศที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากบนพื้นผิวของโลก มีหลายเหตุผลที่ทำให้ท้องฟ้านั้นยากที่จะจำกัดความ อย่างเช่น ในเวลากลางวันท้องฟ้าปรากฏให้เราเห็นเป็นสีฟ้าเนื่องจากอากาศทำให้เกิดการกระเจิงของแสงอาทิตย์ ไม่ใช่เพราะว่ามีวัตถุอื่นใดที่มีสีฟ้าเหนือพื้นโลก และสาเหตุที่ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มในตอนเช้าหรือเย็นนั้นก็มาจากการกระเจิงของแสง (Scattering of light) หรือที่เรียกเรากันว่าการหักเหของแสงที่ได้เคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่แตกต่างกัน ซึ่งโดยปกติแสงของดวงอาทิตย์ที่เรามองเห็นโดยทั่วไปจะเป็นสีขาว ประกอบไปด้วยแสงสีต่างๆ ที่มีความยาวคลื่นที่ไม่เท่ากัน (คล้ายๆ กับทฤษฎีการเกิดของรุ้งกินน้ำ ที่มีคลื่นความยาวของแสงแต่ละสีที่ต่างกัน) จึงทำให้ในตอนเช้าและตอนเย็น เมื่อแสงของดวงอาทิตย์ทำมุมลาดกับพื้นโลก จึงทำให้ผ่านสิ่งกีดขวางที่อยู่ในชั้นบรรยากาศจึงทำให้แสงต้องเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศเป็นระยะทางที่ยาวกว่าในตอนกลางวัน ทำให้แสงสีม่วง คราม และน้ำเงิน ที่มีคลื่นความยาวที่น้อยกว่าขนาดของโมเลกุลในอากาศ เกิดการกระเจิงของแสงไปในท้องฟ้า แต่การกระเจิงนั้นอยู่ในชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงกว่าในตอนกลางวัน จึงทำให้มีเพียงแสงสีเหลือง ส้ม และแดง ที่มีความยาวคลื่นที่มากกว่าขนาดของโมเลกุลในอากาศ แสงจึงสามารถเคลื่อนที่ผ่านโมเลกุลของอากาศมาได้ ดังนั้นจึงทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าในยามเช้าและเย็นเปลี่ยนไปเป็นสีส้มโดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันตกในตอนเย็น
แต่ไม่ว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน หรือจะเปลี่ยนไปอย่างไร นี่ก็ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของปรากฎการณ์ทางธรรมาชาติใกล้ตัวเรา ที่ก็มีความสวยงามและสามารถหาดูได้ง่ายๆ ไม่ต้องรอดูฝนดาวตก ที่หนึ่งปีมีเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง หรือต้องเดินทางระยะไกลเพื่อไปดูแสงเหนือแสงใต้ถึงต่างประเทศ