ฝนดาวตก
ฝนดาวตก หมายถึงปรากฏการณ์ที่ท้องฟ้ามีดาวตกมาจากแหล่งเดียวกับฝนดาวตกส่วนมากเกิดจากฝุ่นของดวงหาง (ยกเว้นฝนดาวตกเจมินิดส์ที่เกิดจากฝุ่นของดวงเคราะห์น้อยเฟธอน 3200) และเมื่อดาวหางโคจรรอบดวงอาทิตย์มันจะปล่อยอนุภาคออกมาเป็นทางยาวในวงโคจรเรียกว่า ธารอุกกาบาต (Meteor stream) ดาวหางที่มีขนาดใหญ่จะทำให้เกิดธารอุกกาบาตขนาดใหญ่ซึ่งมีอนุภาคจำนวนมาก และดาวหางที่มีขนาดเล็กและเก่าแก่จะมีธารอุกกาบาตขนาดเล็กและมีอนุภาคจำนวนน้อย ดาวหางบางดวง เช่น ดาวหางฮัลเลย์มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลก
ฝนดาวตกแตกต่างจากดาวตกทั่วไปตรงที่ดาวตกทั่วไปจะมีจำนวนน้อยซึ่งแต่ละคืนจะมีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นและไม่ได้ตกลงมาจากจุดเดียวกัน แต่ถ้าหากเป็นฝนดาวตกจะมีดาวตกจำนวนมากคืนละหลายสิบดวงขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของธารอุกกาบาต ปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่เกิดขึ้นอาจจะดูเหมือนว่ามาจากจุดๆหนึ่งบนท้องฟ้าซึ่งเรียกว่า เรเดียนต์ ฝนดาวตกใดที่มีเรเดียนต์อยู่ในกลุ่มดาวก็จะมีชื่อเรียกตามกลุ่มดาวนั้นๆ เช่น ฝนดาวตกกลุ่มดาวสิงโตจะมีจุดเรเดียนต์อยู่ในกลุ่มดาวสิงโต หรือฝนดาวตกกลุ่มดาวคนคู่ก็มีจุดเรเดียนต์อยู่ในกลุ่มดาวคนคู่เป็นต้น
ฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเราจะสามารถวางแผนการดูฝนดาวตกล่วงหน้าได้โดยไม่เลือกดูในฤดูฝน เลือกดูในช่วงที่มีจำนวนดาวตกมาก ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่สำคัญอีก 3 ประการที่จะต้องพิจารณาคือ สภาพอากาศ เวลาขึ้น-ตกของดวงจันทร์ และการเลือกสถานที่ที่มืดปราศจากแสงรบกวน เพราะฝนดาวตกนั้นจะไม่ได้มีแสงสว่างมากจึงไม่สามารถสู้แสงจากดวงจันทร์หรือแสงจากในเมืองได้ ยกเว้นดาวตกดวงใหญ่ที่เรียกว่า ไฟร์บอล (Fireball) ซึ่งนานๆครั้งถึงจะปรากฏให้เห็น ในการจะดูฝนดาวตกเราไม่จำเป็นจะต้องจองมองที่เรเดียนต์ เพราะตอนที่ดาวตกมาจากเรเดียนต์นั้นเราจะยังมองไม่เห็นจะเห็นก็ต่อเมื่อเสียดสีกับชั้นบรรยากาศจนเกิดการลุกไหม้แล้วเท่านั้น ดาวตกอาจจะไปปรากฏแสงสว่างให้เห็นในทิศทางใดก็ได้และในช่วงเวลาใดก็ได้
ปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีโดยจะอยู่ในช่วงประมาณระหว่างวันที่ 4-17 ธันวาคม จากสถิติปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์นี้มีอัตราการตกต่อชั่วโมงสูงมากที่สุด ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะตรงกับคืนเดือนมืดทำให้สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์ได้ชัดเจน สถานที่ที่เหมาะแก่การดูฝนดาวตกคือ เราสามารถดูฝนดาวตกจากที่ไหนก็ได้ที่สะดวกโดยต้องหาที่มืดสนิท ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไม่มีสิ่งใดบดบังการมองเห็นอาจจะเป็นอุทยาน บนยอดเขา หรือที่ห่างไกลจากชุมชนเพื่อหลีกเลี่ยงแสงไฟและมลภาวะหมอกควันเพราะบริเวณที่สูงมักจะมีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งกว่าในเมือง