แสงเกเกินไชน์ (Gegenschein)
บทความนี้มีสาระดี ๆ ที่น่าสนใจจากคุณศุภฤกษ์ คฤหานนท์ หัวหน้างานบริการวิชาการทางดาราศาสตร์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เรื่องที่นำมาแชร์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพ โดย “แสงเกเกินไชน์ (Gegenschein)” คือแสงสลัว ๆ จาง ๆ รูปทรงรี ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในตำแหน่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ (Antisolar point) ปรากฏการณ์นี้เกิดจากการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์กับฝุ่นละอองในระนาบของระบบสุริยะ เช่นเดียวกับแสงจักรราศี (Zodiacal light) แสงนี้สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าในพื้นที่ที่มีคุณภาพท้องฟ้าดี มืดสนิทไร้มลภาวะทางแสงและฝุ่นควันในอากาศ หากแสงเกเกินไชน์ปรากฏที่ใดก็สามารถชี้วัดถึงคุณภาพท้องฟ้าในพื้นที่นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีทีเดียวเชียว
วิธีการถ่ายภาพแสงเกเกินไชน์ (Gegenschein) สิ่งสำคัญสิ่งแรกคือความมืดของท้องฟ้า รวมไปถึงค่าทัศนวิสัยของท้องฟ้าที่จะต้องดีมาก ๆ จึงจะสามารถถ่ายภาพติดแสงเกเกินไชน์ได้ โดยรายละเอียดการถ่ายภาพมีขั้นตอนดังนี้ ขั้นแรกช่วงเวลาเที่ยงคืนจะมีโอกาสถ่ายภาพได้ดีที่สุด เนื่องจากตำแหน่งของแสงเกเกินไชน์อยู่ตรงข้ามดวงอาทิตย์ ทำให้แสงอยู่บริเวณกลางศีรษะพอดี ทำให้ไม่มีมวลอากาศที่ขอบฟ้ามารบกวน และควรถ่ายภาพบนขาตั้งกล้องแบบตามดาวเพื่อให้สามารถถ่ายภาพโดยเปิดหน้ากล้องได้นานขึ้น เนื่องจากเป็นแค่แสงสลัว จางๆ สังเกตค่อนข้างยากด้วยตาเปล่า การถ่ายภาพจำเป็นต้องเปิดหน้ากล้องนานเพื่อเก็บแสงให้ได้มากที่สุด เลือกใช้เลนส์มุมกว้างและถ่ายบริเวณกลางท้องฟ้า ในช่วงเวลาเที่ยงคืน พร้อมทั้งเปิดใช้ค่ารูรับแสงกว้างๆ เช่น f/2.8 เพื่อให้กล้องไวแสงมากที่สุดในการถ่ายภาพ อยากจับภาพได้ทันก็อย่าลืมใช้ค่า ISO สูง ตั้งแต่ 1000 ขึ้นไปเพื่อให้กล้องมีความไวแสงมากขึ้น
ถ้าคุณไม่มีกล้องถ่ายรูปแต่อยากชมแสงเกเกินไชน์ต้องทำยังไง คุณศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ก็มีวิธีในการสังเกตด้วยตาเปล่ามาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งทักษะในการสังเกตการณ์ คุณต้องเรียนรู้วิธีการปรับสายตาในที่มืดเพื่อให้รูม่านตาขยาย โดยใช้เวลาปรับสายตาประมาณ 45 นาที เพื่อปรับให้ตาเข้ากับความมืดอย่างเต็มที่ หรือใช้การมองแบบชำเลืองคล้ายกับการแอบมอง คือการมองด้วยสายตาที่ไม่ได้มองวัตถุโดยตรง แต่อยู่ด้านข้างเล็กน้อยในขณะที่ยังคงให้ความสนใจกับวัตถุนั้นต่อไป วิธีนี้เป็นเทคนิคที่นักดาราศาสตร์นิยมใช้ในการสังเกตการณ์วัตถุท้องฟ้าที่มีความสว่างน้อย ๆ ได้เป็นอย่างดี และสุดท้ายในการสังเกตการณ์ หากต้องการใช้แสงสว่าง ก็ควรใช้แสงสีแดงที่สลัวเท่านั้น เพื่อให้ไม่เป็นการทำลายวิสัยทัศน์ในการมองเห็นในตอนกลางคืน รู้วิธีการชมทั้งที มีโอกาสก็ควรต้องหาเวลาไปชมสักหน่อยแล้ว